ระบบ Blockchain เป็นเครือข่ายที่ใช้เก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ ที่โยงใยถึงกันหมด และในอนาคตจะช่วยเก็บสถิติการทำธุรกรรมทางการเงินรวมไปถึงสินทรัพย์อื่น ๆ โดยไม่มีตัวกลางอย่างธนาคาร นั่นจึงทำให้Blockchain เป็นระบบโครงข่ายในการทำธุรกรรมไม่ผ่านสถาบันการเงินออกไป ส่งผลให้การทำธุรกรรมมีต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งในอนาคตอันใกล้สถาบันการเงินที่เป็นตัวกลางจะไม่มีอีกต่อไป หากระบบนี้เข้ามาแทนได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังสามารถนำไปปรับใช้กับระบบอื่น ๆ ได้อีกมากมายถือว่ามีประโยชน์อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
ระบบ Blockchain ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ
Block – คือกล่องเก็บข้อมูล ทำหน้าที่กระจายข้อมูลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเก็บเอาไว้ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ และในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งจะมีการสร้างกล่องใหม่ขึ้นมา
Chain – จะนำกล่องข้อมูลมาผูกเข้าด้วยกันด้วยวิธี Hash Function เปรียบเป็นลายนิ้วมือเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลแต่ละคน และยังถือเป็นตัวแทนของข้อมูลต้นฉบับที่โอกาสจะซ้ำกันเกิดขึ้นยากมาก
Consensus – เป็นตัวกำหนดข้อตกลงที่มีความเห็นร่วมกันอัลกอริทึมต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันในเรื่องกฎ รวมไปถึงเครื่องมือที่ใช้ในเครือข่าย
Validation – เป็นขั้นตอนขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นร่วมกัน โดยการตรวจสอบจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นจะมีการสร้างกล่องใหม่ขึ้น แล้วเชื่อมโยงเข้ากับห่วงโซ่เดิมที่ผูกกันไว้ โดยมีการยืนยันตัวเองของผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม ซึ่งข้อมูลต้องได้รับความเห็นชอบจากคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่ผ่านข้อตกลงที่มีร่วมกัน หลังจากนั้นระบบจะทำการตรวจสอบ จึงทำให้เกิดความปลอดภัยจนได้รับความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน ระบบ Blockchain
Blockchain สามารถนำไปใช้งานกับองค์กรที่ใช้ระบบ ERP, WPS, MES, CRM เพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน การซื้อและจัดส่งผลิตภัณฑ์ การดูแลลูกค้า เป็นต้น ด้วยความโปร่งใส จึงทำให้เกิความน่าเชื่อถือ ยังสามารถติดตามข้อมูลเพื่ออ้างอิงได้ตลอดซึ่งในปัจจุบัน ก็มีหลายองค์กรนำ Blockchain มาใช้งานแล้วไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมประกันภัย, ธุรกิจที่ต้องการความโปร่งใส, ธุรกิจที่ต้องติดตามสินค้าต่าง ๆ, งานที่ต้องการความปลอดภัยสูง, งานสำรองข้อมูลย้อนหลัง, งานที่มีลิขสิทธิ์ และงานด้านการแพทย์
จะเห็นได้ว่า ระบบ Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญ ซึ่งในอนาคตที่จะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ถึง 10 ปี ถือเป็นเรื่องไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่าระบบนี้คือตัวกำหนดอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหลายควรหันมาให้ความสำคัญ และเริ่มต้นเรียนรู้เพราะเทคโนโลยีดิจิทัล จะเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่อย่างแน่นอน